เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ม.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมเนาะ โยมมาแต่ไกลนะ เรามาแต่ไกล เรามาทำบุญกุศล แล้วเวลามาวัดแล้วนี่ทำไมรีบด่วนนัก การรีบด่วนนะมันเป็นการฝึกสติ แต่ถ้าเฉื่อยชา.. การเฉื่อยชา เวลาเราอยู่กับหลวงตานะ ถ้าเวลาเรารีบด่วนเกินไป เรารีบด่วนเกินไปท่านก็บอกว่ามันดูไม่สมควร แต่ถ้าช้าเกินไปนะท่านบอกเหมือนพระป่วย

คนเวลาป่วย เห็นไหม แต่เวลาคนแก่คนเฒ่า เรานั่งไม่ได้ ยืนไม่ได้ ไอ้นี่มันเรื่องของความชราภาพ แต่ถ้าเราเป็นพระนะ เราเป็นพระเราเป็นนักปฏิบัติเราต้องตื่นตัว.. การตื่นตัว เวลาเราปฏิบัติเราต้องมีสติ ทุกคนอยากมีสติ ทุกคนอยากทำสมาธิได้ความร่มเย็น ทุกคนอยากได้ปัญญาเพื่อชำระกิเลส แต่เวลาเราปฏิบัติกันไป เห็นไหม สิ่งใดที่เป็นการฝ่าฝืน การฝืนความรู้สึกของตัว เราว่าสิ่งนั้นเป็นความไม่สะดวกใจ

การฝ่าฝืนหัวใจของตัว ฝ่าฝืนความรู้สึกของตัว นั้นคือการต่อต้านกิเลส นั้นคือการฝ่าฝืนกิเลส ถ้าเรามีการฝ่าฝืน เรามีสติปัญญา นี่เราต่อต้านเราฝืนมัน.. มันอยากเป็นไป นี่เวลามันอยาก เห็นไหม เวลากำหนดพุทโธ หรือเราตั้งสติไว้ แล้วมันก็จะจางไปๆ แล้วมันก็จะหายไป เราก็หงุดหงิด เวลาเราต้องการทำคุณงามความดี ทำไมมันไม่ได้ดั่งใจเรา มันไม่ได้ดั่งใจเราเพราะเราไม่ได้ตั้งใจ เราไม่เคยประพฤติปฏิบัติ เราไม่เคยฝืนมัน เราปล่อยจนเคยตัวกันนะ

นี่เวลาเราปล่อย.. เราปล่อยความรู้สึก ความนึกคิดไปจนเคยตัว ถ้าเราจะฝ่าฝืน เราจะตั้งสติ เราจะกำหนดพุทโธ มันเป็นการต่อต้าน ต่อต้านความรู้สึกของเราเอง ถ้าต่อต้านความรู้สึกของเราเองนะ ในพุทธศาสนา ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร คือปัญญารอบรู้ในความคิดเรา.. กองสังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้ามีสติปัญญาเราจะควบคุมความคิด ความปรุง ความแต่ง

เราควบคุมนะ ! เราควบคุมเรายังแก้กิเลสไม่ได้หรอก เพราะเราควบคุมได้ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผุดขึ้นมาใหม่ ความคิดเดิมๆ ความคิดซ้ำซาก.. ความคิดครั้งแรก นี่ความคิดอารมณ์อย่างนี้มันไม่น่าจะให้ผลกับเรา มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเวลาเราคิดนะ แต่มันคิดซ้ำคิดซาก ความคิดจากเล็กน้อยมันจะเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ควบคุมมัน เพราะเราไม่ได้เคยฝ่าฝืนมัน เวลามาทีหนึ่งนะมันมาเป็นพายุบุแคมเลย เวลามันทำลายหัวใจของเรานี่คืออะไรล่ะ เพราะเราไม่เคยฝึก.. เราไม่เคยฝึก เราไม่เคยปฏิบัติของเรา

ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติมันต้องเป็นความเพียรชอบ ! ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เราต้องมีความวิริยะอุตสาหะ มันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมา.. ความวิริยะอุตสาหะบนความนิ่งอยู่ เวลาเรานั่งสมาธินะเรานั่งเฉยๆ ตั้งสตินั่งเฉยๆ กำหนดพุทโธ พุทโธนี่เรานิ่งอยู่ เห็นไหม แล้วความเพียรอะไรล่ะ ความเพียรต้องมีอาบเหงื่อต่างน้ำสิ ความเพียรต้องมีความมุมานะรุนแรงสิ

อันนั้นเป็นความเพียรทางโลก อันนั้นคือการใช้ร่างกายของเรา ใช้ปัญญาของเรา ทำงานเพื่อวิชาชีพ แต่ความเพียรในพุทธศาสนา เห็นไหม ต้องทำความสงบของใจ ความเพียรที่ให้มันสงบระงับ ความเพียรที่นิ่งอยู่ เราเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เป็นความเพียร ไม่ใช่เป็นการทำงาน เขาถึงว่าไง ว่าพวกเรานี่มีเวลาเหลือเฟือ เขาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาเงินหาทอง หาปัจจัยเครื่องอาศัยกัน ไอ้นี่ไปอยู่วัดเฉยๆ ไม่ทำอะไรกัน เป็นคนขี้เกียจ เป็นคนไม่เอาไหน เป็นคนหนีสังคม แต่เวลาเอาจริงเอาจัง เอาอยู่ไหมล่ะ.. เอาความรู้สึกของเราอยู่ไหมล่ะ

งานอย่างหยาบเราก็ทำกันมาแล้ว เราอาบเหงื่อต่างน้ำเราก็ว่าทุกข์ เวลาเราจะทำความสงบของใจนี่เราก็ว่าทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เราจะทำอย่างไรจะให้พ้นจากทุกข์ล่ะ.. มันต้องมีความเพียรนะ นี่ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ แต่เราเข้าใจผิดกัน เราเข้าใจผิดว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทาคือการปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางเลย ยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยแล้วปล่อยวางเลย

เหมือนเด็กๆ เกิดมาแล้วพ่อแม่ไม่ดูแลรักษามันเลย ให้มันโตเอง มันจะโตขึ้นมาเอง มันจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ปล่อยวางเลย.. มันเป็นไปไม่ได้หรอก ลูกเราใครก็รัก ลูกใครใครก็รัก ลูกใครใครก็ดูแลมัน หัวใจของเราแท้ๆ ทำไมไม่ดูแล หัวใจของเรายิ่งกว่าลูกนะ เห็นไหม เวลาเขาบวชพระ เขาบอกว่าบวชพระแล้วอยู่ไม่ได้ ถามว่าห่วงอะไร นี่ห่วงลูก ห่วงลูก เขาบอกว่าลูกให้คนอื่นอุ้มได้ไหม.. ได้ เมียให้คนอื่นอุ้มได้ไหม.. ไม่ได้

นี่ไงเวลารักๆ เห็นไหม มันอยู่ในหัวใจ สิ่งที่อยู่ในหัวใจ สิ่งต่างๆ ว่าเรารักเราสงวนรักษา เราสงวนรักษานะ.. ใช่ ! โดยปกติครอบครัวเรา เราก็ต้องรักของเราเป็นธรรมดา แต่ความรักอย่างนั้นมันเป็นความรักของความรู้สึกความนึกคิดนะ แต่จริงๆ แล้วตัวใจล่ะ.. นี่ถ้างานที่ละเอียดเข้ามา ความรักความผูกพันเป็นกระแส เป็นผลบุญผลกรรม เป็นผลของการกระทำร่วมกันมา แต่เวลาถึงที่สุดนะ ถ้าหัวใจของเรานี่เราจะรักษาอย่างไร เราจะดูแลอย่างไร

คำว่าความเพียรๆ เราจะมองแต่ว่าความเพียรคือการทำหน้าที่การงานแล้วเป็นความเพียร แต่เวลาเราตั้งสติเราไม่ได้ดูมันเป็นความเพียรเลยเหรอ.. เราตั้งสติ เรามีสติยับยั้ง นี่เป็นความเพียรไหม ถ้าความเพียรอย่างนี้ แล้วความเพียรนี่ดูสินั่งอยู่เฉยๆ เวลาอาบเหงื่อต่างน้ำก็ว่าทุกข์นะ เวลานั่งอยู่เฉยๆ ก็ทำไม่ได้ เวลาอาบเหงื่อต่างน้ำก็อยากพักอยากผ่อน อยากจะมีความสงบ เวลาจะเอาความสงบขึ้นมาทำไมเราเอาไม่อยู่ล่ะ ทำไมเอาใจของเราไม่ได้

นี่เวลาอยู่คนเดียวให้ระวังความคิด เวลาอยู่ในหมู่คณะ เราอยู่กันในหมู่สังคม นี่มีกันมันอบอุ่น เห็นไหม แต่เวลาเราอยู่ของเราคนเดียวความคิดมันผุดมาตลอดเวลา ยิ่งเวลาเราเข้าไปธุดงค์ เราเข้าป่าเข้าเขา ไปเจอความสงบสงัด แล้วไปอยู่ในป่าช้า นี่ที่เขาเที่ยวป่าช้าเพราะเหตุใดล่ะ เที่ยวป่าช้าเพราะจิตใจมันดื้อด้านนัก จิตนี่มันคิด มันปรุง มันแต่ง เวลาอยู่คนเดียวความคิดเอามันไม่อยู่ พอเข้าไปในป่าช้ามันกลัวผี พอมันกลัวผีขึ้นมามันไม่กล้าคิดเรื่องอื่นแล้ว ถ้ามันจะคิดก็คิดแต่เรื่องผี แล้วย้ำคิดนะ ผีๆๆๆๆ แล้วผีมีหรือเปล่าไม่รู้ไง

การเที่ยวป่าช้า เห็นไหม เป็นแบบเกลือจิ้มเกลือ ในเมื่อเราต้องการให้จิตมันสงบ เราไม่ต้องการให้จิตมันคิด มันก็ต้องเอาความกลัวเอาความต่างๆ มาบังคับมัน.. นี่เราเข้าไปธุดงค์ เข้าป่าเข้าเขาก็เพราะเหตุนี้แหละ พอไปอยู่ในที่สงบสงัดนะ เสือตัวใหญ่ๆ นะ ผีนี่ตัวเท่าโลกนี้เลย มันจินตนาการไปทั่ว

นี่โดยสัญชาตญาณมันแก้กัน เห็นไหม พอมันแก้กัน ดูสิสุภะ อสุภะ.. ความสวยความงามแก้ด้วยอสุภะ แต่การแก้อสุภะให้มันเป็นความจริงในสุภะเป็นอสุภะนะ ความสวยความงามนั้นเวลามันจิตสงบแล้ว จากความสวยความงามนั้นเป็นอสุภะ แต่นี่ไม่ใช่เราไปเอาสุภะมาเลย ไปเอาสุภะมานะมายัดใส่มันเลย แล้วไอ้สุภะมันก็อยู่ในหัวใจนี่ แล้วเอาสุภะมาก็มากดมันไว้ ไอ้อสุภะมันเลยกดสุภะไว้ คือความไม่สวยไม่งามมันกดความสวยความงามไว้ พอเวลาเพิกความไม่สวยไม่งามออก ความอสุภะออก มันก็มีความสวยงามอย่างเก่า

นี่ไงมันไม่เกิดจากจิตไง แต่ถ้ามันเกิดจากจิตนะ พอจิตมันเป็นของมัน จิตมันสงบขึ้นมามันเห็นเป็นร่างกาย เห็นเป็นร่างกายแล้วมันพิจารณาของมันไป มันก็ถึงว่ามันเปลี่ยนแปลงเป็นอสุภะ เหมือนของดีๆ อยู่บนมือเรา แล้วมันเน่ากลางมือเรานี่เราจะทำอย่างไร เราก็ต้องสลัดทิ้ง.. นี่ไงเวลาพิจารณาเขาพิจารณากันอย่างนี้ ไอ้นี่อสุภะนะมันก็เอามาเลยนะ อู้ฮู.. เป็นอสุภะนะ เอามากดมันเลยนะ.. อสุภะ สูตรสำเร็จไม่มีหรอก ! เพราะเราเข้าใจผิดกัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำสมาธิ เวลาทำความสงบเข้ามานะ ความว่างมันมีอยู่แล้ว ทุกอย่างมันมีอยู่แล้ว สรรพสิ่งมันมีอยู่แล้ว.. ขี้เกียจ ! เป็นคนจับจด เป็นคนมักง่าย แล้วบอกว่าอยากได้มรรคได้ผล มรรคผลมันมาจากฟ้าเหรอ ดูสิโยมทำบุญกุศล โยมนึกเอานะวิญญาณาหาร ถ้าโยมไม่ได้เสียสละมาโยมจะนึกถึงบุญของโยมได้ไหม

สิ่งที่เราเสียสละออกไป เห็นไหม สิ่งที่เสียสละออกไปนี้มันเป็นวัตถุนะ เก็บไว้มันบูดมันเน่า แต่ถ้าเสียสละออกไปแล้วนะมันไม่บูดไม่เน่า นึกถึงอาหารที่เราเสียสละมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ชาติที่แล้ว มันยังสดๆ อยู่เลย มันไม่เน่า.. มันไม่เน่าเพราะมันเป็นทิพย์ มันเป็นความรู้สึก มันเป็นนามธรรม

นี่ไงจิตใจมันคิด มันต้องเสียสละของมันออกไปมันถึงมีสิ่งนั้นเป็นภาพฝังใจอันนั้น อันนั้นมันถึงนึกอันนั้นได้ แล้วนี่ก็เหมือนกันสิ่งที่มันเป็นความว่าง เป็นมรรคเป็นผล มันจะนึกเอา นี่นึกเอามาจากไหน.. นึกเอาก็เป็นจินตนาการ เห็นไหม นี่สุตมยปัญญาคือการศึกษา ศึกษาแล้วจินตนาการไป จินตนาการเสร็จแล้ว แล้วถ้ามันไม่เป็นภาวนามยปัญญา ไม่เป็นความจริงขึ้นมานี่ ไม่มีหรอก ! ไม่มี

เราศึกษากัน แล้วเราจินตนาการกัน แล้วครูบาอาจารย์ที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม ก็บอกว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นความว่าง ทุกคนก็นึกได้มันเป็นความว่าง อากาศมันก็นึกได้ ในโอ่งในไหมันก็นึกของมันได้ มันก็ว่างอยู่ ในโอ่งในไหมันก็ไม่มีอะไร มีแต่อากาศ มันก็เป็นความว่างของมัน แต่ใครเป็นผู้รับรู้ล่ะ.. แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา เรามีสติของเราขึ้นมา เราจะบอกว่า เราต้องขยันหมั่นเพียรไง !

เราต้องขยันหมั่นเพียร เห็นไหม ดูสิเราอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาก็หาเงินหาทอง หาความมั่นคงของชีวิต นี่เราก็ต้องใช้ความอาบเหงื่อต่างน้ำมา เวลาเราทำคุณงามความดีของใจ เราก็ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยหัวใจ มีสติมีปัญญานี่อาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อให้จิตมันสงบ เพื่อให้จิตมันได้ฝึกฝน เพื่อให้จิตมันมีวิวัฒนาการของมัน เพื่อให้จิตได้กระทำของมันนะ มันต้องมีความเพียรทั้งนั้นแหละ

ความเพียร.. ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ เห็นไหม ถ้าคนมีความเพียรทางโลก มาขยันหมั่นเพียรมาปฏิบัติ มันก็ขยันหมั่นเพียรนะ นี่จริตนิสัยมันอันเดียวกันมา มันส่งต่อๆ กันมา นี่เป็นคฤหัสถ์ที่ดี มาบวชพระ เป็นพระที่ดี พระที่ดีก็ปฏิบัติที่ดี ปฏิบัติที่ดีก็ได้ผลที่ดี เห็นไหม มันก็เกิดธรรมโอสถ.. ธรรมโอสถมันจะมาแก้ไข มันจะมาดัดแปลงนะ

นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ที่บอกธรรมนี้มันสะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลาใครทำลายมันไม่ได้ ก็คืออันนี้ไง ทุกคนเข้าไปถึงที่นั่น เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง จะไปประสบสิ่งนี้ สิ่งนี้ใครทำลายมันไม่ได้หรอกมันเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่ที่ทำลายกันนะ เวลาทำลายกันก็ทำลายสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่ทำลายได้ แล้วสิ่งที่ทำลายได้คือวัตถุ เวลาทำแล้วทำให้เจ็บช้ำน้ำใจต่อกัน

เวลาโลกธรรม ๘ เห็นไหม เสียงนินทา ลมปาก เวลาพูดมาถึงหูเรา เจ็บยิ่งกว่าเขาทำร้ายร่างกายเราอีก เวลาติฉินนินทามาถึงหูเรานะ หัวใจนี้สั่นไหวไปเลย นี่มันสั่นไหวเพราะอะไรล่ะ เพราะมันมีความรู้สึกใช่ไหม เรามีภวาสวะใช่ไหม เรามีหัวใจใช่ไหม สิ่งนี้กระทบกระเทือนใจเราใช่ไหม เพราะใจเรามีใช่ไหม ถ้าเราทำความสงบของใจล่ะ

ทำความสงบของใจมันก็สงบมา มันก็มีภวาสวะมีภพอยู่ แต่เวลาวิปัสสนาญาณนี่มันทำลายหมดสิ้น ทำลายภวาสวะ ทำลายที่ภพ ลมมันจะไปโดนอะไรล่ะ ลมมันพัดไปมันก็พัดผ่านไปเฉยๆ มันไม่มีสิ่งใดไปต่อต้าน ลมจะทำให้สิ่งนั้นสั่นไหวได้ ลมจะไม่ทำให้สิ่งนั้นมีความรู้สึกได้.. ลมจะไม่ได้ทำให้สิ่งนั้นรู้สึก สิ่งนั้นมีการกระทบเลย เพราะมันทำลายภวาสวะ ทำลายภพ

อวิชชาคือความไม่รู้ นี่กิเลสสวะคือความต้องการ ภวาสวะคือสถานที่.. นี่ไงถึงบอกพระอรหันต์ไม่มีจิต ไม่มีต่างๆ เป็นธรรมธาตุ เป็นสัจธรรม เป็นความจริงอันหนึ่ง เห็นไหม เรามีอยู่ เรามีหัวใจอยู่ เรายังมีกระทบอยู่.. สิ่งกระทบ สิ่งรุนแรงที่กระทบอยู่นี้เพราะเรามีหัวใจ ! เรามีหัวใจ นี่ปฏิสนธิจิตมันเกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดเป็นโอปปาติกะ มันเกิดกำเนิด ๔ เห็นไหม จิตนี้ยังหมุนเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ถ้ามันไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีอะไรต่างๆ มันจะเอาอะไรไปเกิด มันมีสิ่งใดพามันไป

นี่ตอนนี้มี ปัจจุบันนี้มี เราถึงศึกษาธรรมะ แล้วเราพยายามทำบุญกุศลขึ้นมา ให้จิตใจมันฝักใฝ่กับธรรม เวลาเราทำบุญกุศลมันจะเป็นอามิส ทำบุญกุศลนี่ฟังธรรมๆ เห็นไหม ธรรมะนี่เตือนเรา.. การฟังธรรม ถึงที่สุดแล้วจิตใจผ่องแผ้ว ความผ่องแผ้วแล้วเราทำอย่างไรต่อไปล่ะ ผ่องแผ้วแล้วต้องปฏิบัติ ต้องทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา

ความผ่องแผ้วคือความเข้าใจ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่มรรคญาณมันเข้าไปทำลาย ทำลายอวิชชา ทำลายความไม่รู้.. นี่กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ เห็นไหม อาสวะ ๓ ! นี่สิ่งนี้มันอาศัยหัวใจเป็นที่พักอาศัย แล้วมรรคญาณนี่เข้าไปชำระทำความสะอาดของมัน ถึงที่สุดพลิกฟ้าคว่ำดินนะ พลิกฟ้าภพ พลิกฟ้าสิ่งที่เราทำกุศลตกผลึก นี่มันตกผลึกไป มันก็ไปเกิดเป็นพันธุกรรมทางจิต มันตกผลึกในหัวใจ สุดท้ายต้องพลิกฟ้าคว่ำดิน ทำลายทุกอย่างเลย มันถึงสะอาดบริสุทธิ์จริง มารถึงหาที่ไม่ได้ มารถึงหาไม่เจอ

ถ้ามันมีสิ่งใด มีภวาสวะ มีภพ มีความรู้สึกอยู่ มารมันหาเจอ มารมันอาศัยอยู่บนนั้นแหละ อาศัยอยู่บนหัวใจเรานี่แหละ ถ้าเราทำถึงที่สุดแล้ว มารมันจะไม่มีที่อยู่อาศัย มารมันจะเข้ามาในหัวใจเราไม่ได้

“มารเอย.. เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย !” เอวัง